ท่าหน้าที่เป็นสารให้ความข้นหนืด (Thickener) สารเพิ่มเนื้อสัมผัส (Texturizer) และสารช่วยจับตัว (Binder) ในผลิตภัณฑ์อาหาร
วิธีการใช้
- ใช้โดยการผสมแป้งสาลีลงในส่วนผสมของอาหาร เพื่อปรับปรุงเนื้อสัมผัส ความข้นหนืด และความ
เสถียรของผลิตภัณฑ์ - สามารถละลายแป้งสาลีในน่าหรือของเหลวอื่นๆ ก่อนน่าไปใช้เพื่อให้แป้งกระจายตัวได้ดีขึ้น และ
ป้องกันการจับตัวเป็นก้อน - การใช้ความร้อนในการหุงต้มหรืออบแป้งสาลี่ จะทําให้แป้งสุก (Gelatinization) และช่วยให้อาหารมี
เนื้อสัมผัสที่ดีขึ้น
ใช้ในอาหารประเภทใด
- เป็นส่วนประกอบสําคัญในผลิตภัณฑ์ขนมอบ เบเกอรี่ ขนมปัง เค้ก คุกกี้ พาย แป้งทอดกรอบ ฯลฯ ใช้ท่าซอสและน้ําสลัดต่างๆ เพื่อให้มีความข้นหนืดและความคงตัวที่ดี
- ใช้เป็นสารให้ความข้นหนืดในซุป สตูว์ แกง น้ําแกง เพื่อปรับปรุงเนื้อสัมผัสและรสชาติ
- ใช้ในการผลิตพาสต้า บะหมี่ เส้นก๋วยเตี๋ยว และผลิตภัณฑ์จากธัญพืชอื่นๆ
ปริมาณที่ใช้ในอาหารตามข้อกําหนดขององค์การอาหารและยา
- US FDA จัดให้แป้งสาลีเป็นสารเติมแต่งอาหารที่ปลอดภัย (GRAS) สามารถใช้ได้โดยไม่จํากัด ปริมาณ
- แป้งสาลีถือเป็นสารเติมแต่งอาหารธรรมชาติ ไม่มีการกําาหนดปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ใช้ในอาหาร
- ปริมาณการใช้ขึ้นอยู่กับสูตรอาหารและผลทางกายภาพ เคมี และประสาทสัมผัสที่ต้องการในผลิตภัณฑ์นั้นๆ
ค่าเตือนการใช้
- แป้งสาลีมีความปลอดภัยสูงส่าหรับการใช้ทั่วไปในอาหาร เพราะเป็นส่วนประกอบจากธรรมชาติ ไม่มี
ผลข้างเคียงที่ร้ายแรง - ผู้ที่มีภูมิแพ้ต่อกลูเตน ซึ่งพบได้ในแป้งสาลี ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีแป้งสาลีเป็นส่วน ประกอบ
- การบริโภคอาหารที่มีแป้งสาลีในปริมาณสูงเป็นประจํา อาจส่งผลให้ได้รับพลังงานและคาร์โบไฮเดรต
มากเกินความต้องการของร่างกาย เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนและโรคเรื้อรังต่างๆ
ผู้บริโภคทั่วไปควรเลือกบริโภคอาหารที่หลากหลาย ไม่หนักไปทางแป้งหรือคาร์โบไฮเดรตมากจน เกินไป เพื่อให้ได้สัดส่วนสารอาหารที่เหมาะสม