Food additive คืออะไร? ประเภทและบทบาทในอุตสาหกรรมอาหาร
Food additive หรือวัตถุเจือปนอาหาร คือสารที่เติมลงในอาหารระหว่างกระบวนการผลิต บรรจุ หรือเก็บรักษา เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เพื่อยืดอายุการเก็บ ปรับปรุงเนื้อสัมผัส เพิ่มสี กลิ่น รส หรือคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งนี้ Food additive จะต้องผ่านการประเมินความปลอดภัยโดยหน่วยงานกำกับดูแล เช่น องค์การอาหารและยา (FDA) ขององค์การอนามัยโลก (WHO) และสหภาพยุโรป (EU) รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย โดยจะกำหนดชนิดและปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ใช้ในอาหารแต่ละประเภท
Food additive สามารถแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ตามหน้าที่และคุณสมบัติ ดังนี้
1.สารกันเสีย (Preservatives) เช่น กรดเบนโซอิก โซเดียมเบนโซเอต ไนไตรต์ ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ใช้ยืดอายุการเก็บรักษา ป้องกันการเจริญของจุลินทรีย์ เชื้อรา และยีสต์
2.สี (Colors) ทั้งสีสังเคราะห์และสีธรรมชาติ เช่น บีทารูท แอนนาโต ใช้ปรับปรุงหรือเพิ่มสีสันให้กับอาหาร ชดเชยสีที่สูญเสียไประหว่างกระบวนการแปรรูป
3.สารปรุงแต่งรสชาติ (Flavoring agents) สารให้ความหวาน (Sweeteners) และสารเพิ่มรสชาติ (Flavor enhancers) เช่น ซูคราโลส แอสพาร์แตม โมโนโซเดียมกลูตาเมต (MSG) ใช้ปรุงแต่ง เพิ่ม หรือลดรสชาติและกลิ่นของอาหาร
4.สารให้ความข้นเหนียว (Thickeners) สารเพิ่มเนื้อสัมผัส (Texturizers) และอิมัลซิไฟเออร์ (Emulsifiers) เช่น แป้ง เพคติน ไขมัน ช่วยปรับปรุงเนื้อสัมผัส เพิ่มความเข้มข้น ความเหนียว ช่วยให้ส่วนผสมเข้ากันได้ดีขึ้น
5.สารป้องกันการจับตัวเป็นก้อน (Anticaking agents) เช่น ซิลิคอนไดออกไซด์ แคลเซียมซิลิเกต ช่วยป้องกันการจับตัวเป็นก้อนของผงหรือผลึก เพิ่มการไหลตัวของอาหารผง
6.สารป้องกันการเกิดออกซิเดชัน (Antioxidants) เช่น วิตามินอี, บีเอชเอ ช่วยชะลอปฏิกิริยาออกซิเดชันของไขมันและน้ำมัน ป้องกันการหืน ยืดอายุการเก็บ
7.สารฟอกขาวและสารทำให้ขึ้นฟู (Bleaching and maturing agents) เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ คลอรีน ไดออกไซด์ ช่วยปรับสีแป้งให้ขาวขึ้น ปรับคุณภาพในการทำขนมอบ
8.สารเสริมคุณค่าทางโภชนาการ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน ใยอาหาร กรดไขมันจำเป็น ช่วยเพิ่มสารอาหารบางอย่างที่อาจสูญเสียไประหว่างกระบวนการผลิต หรือเสริมสารอาหารเพิ่มเติมให้กับผลิตภัณฑ์
Food additive มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารยุคใหม่ โดยช่วยเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงได้ ทำให้อาหารมีอายุการเก็บที่ยาวนานขึ้น สะดวกต่อการขนส่ง จัดเก็บ และบริโภค ปรับปรุงรูปลักษณ์และคุณภาพของอาหารให้ตรงกับความต้องการ อย่างไรก็ตามการใช้ Food additive ต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมและปลอดภัย ไม่เกินปริมาณที่กฎหมายกำหนด ผู้ผลิตต้องแสดงข้อมูลสารเติมแต่งบนฉลากอย่างครบถ้วนเพื่อให้ผู้บริโภคมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ขณะที่ผู้บริโภคก็ควรทำความเข้าใจและตระหนักถึงความจำเป็นและความเสี่ยงในการบริโภคอาหารที่มีวัตถุเจือปนด้วย